13 สิงหาคม 2553

รองเท้าฟุตบอล เลือก แบบไหน ยังไง งง?? EP.3 "เทคโนโลยีในรองเท้าบอล"

เอาตั้งแต่ที่ผมเริ่มที่จะเห็นความแต่งต่างที่มีในรองเท้าฟุตบอล ก็คงเป็นเรื่องเทคโนโลยีต่างๆที่แต่ละยี่ห้อพยายามคิดค้นนำมาใส่ในรองเท้าของตัวเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ของผู้ใช้ หรือ มันอาจเป็นเพียงกุศโลบายเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับรองเ้ท้าฟุตบอลเท่านั้น ย้อนกลับไปสมัยผมเรียน ป.ตรี เมื่อประมาณ 4 ปีก่อนจำได้ว่าไปเจอรองเท้าฟุตบอลของ adidas พอพลิกดูที่พื้น โอ้ แม่เจ้า!! ผมเห็นมีฟันเฟืองข้างในด้วย คำถามคือเพื่ออะไร?? ในยุคแรกๆคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ถูกนำเข้ามาใส่ใน รองเท้าฟุตบอล คือ แถบยาง ในรองเ้ท้าตระกูล "Predator" ของ adidas แถบยางที่ถูกนำเข้ามาใส่คงเพื่อช่วยในเรื่องการปั่นบอล และเพิ่มความแม่นยำในการทำประตู ปัจจุบันผู้ผลิตได้ค้นคว้าเทคโนโลยีต่างๆมาใส่ในรองเ้ทาของตนเพื่อที่จะสามารถที่จะแข็งขันกับผู้ผลิตรายอื่นในตลาดได้ ทุกวันวันนี้สามารถแบ่งรูปแบบลักษณะตามความสามารถและประสิทธิภาพของรองเท้าหลักๆออกเป็น 3 สาย

1.สาย ความเร็ว หรือ Speed
รองเท้าจำพวกนี้ส่วนใหญ่ upper จะถูกผลิตขึ้นมาจาก หนังสังเคราะห์ หรือ Micro Fiber ที่มีคุณสมบัติในด้านความเบา และ ความบาง น้ำหนักรองเท้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 150-250 กรัม ต่อข้างแนวโน้มในอนาคตคงจะมีความเบามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้ผลิตแต่ละรายพยายามคิดค้นหนังชนิดใหม่ๆที่มีคุณสมบัติที่มีน้ำหนักน้อยลง และวัสดุที่ใช้ทำพื้นรองเท้าผู้ผลิตหลายรายได้นำเอา Carbon Fiber และ Carbon Kevlar มาใช้ เพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพื้นรองเท้า รองเท้าสายสปีดจึงเหมาะกับผู้เล่นที่มีความคล่องตัวสูงและใช้ความเร็วในการเล่นฟุตบอล แต่ข้อด้อยของรองเท้าแบบนี้คงเป็นเรื่องของน้ำหนักในการยิงลูกฟุตบอลที่ไม่มีพลังเอาเสียเลยคงเป็นเพราะรองเท้าที่มีความเบาหรืออาจจะเบามากเกินไปรึเปล่า
2.สาย พละกำลัง หรือ power
รองเท้าจำพวกนี้จะมีทั้งแบบที่นำหนังแท้ และ หนังสังเคราะห์มาใช้ในการทำ upper แต่สิ่งที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาก็คงเป็นเรื่องของ วัสดุชนิดอื่นๆที่ถูกแทรกหรือเติมเข้ามาในส่วนของ upper ตรงบริเวณที่มีการสัมผัสกับลูกฟุตบอล ซึ่งทางผู้ผลิตเองอ้างว่าจะช่วยในด้านการยิงลูกฟุตบอลหรือการทำประตูที่มีความรุนแรงและความแม่นยำมากขึ้น วัสดุที่นิยมมาใส่บริเวณ upper จะเป็นลักษณะ ครีบ ที่ทำมาจากยางที่มีความหนืด และ เหนี่ยว จากประสมการณ์ของผมเอง ยอมรับว่ามันช่วยให้ยิงแรงขึ้นจริง และอีกหนึ่งอย่างคือ เรื่องของพื้นรองด้านใน หลายยี่ห้อได้มีการให้พื้นรองด้านในของรองเท้าประเภทนี้มาด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบเบา และแบบหนัก เพราะรองเท้าประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 260-350 ต่อข้างเลยที่เดียวจึงเป็นทางเลือกของผู้สวมใส่เองว่าจะชอบให้รองเท้านั้นมีน้ำหนักมากเพื่อการยิงประตูที่รุนแรงหรือเบาขึ้นมาหน่อยเพื่อเพิ่มความคล่องตัว ข้อดีของรองเท้าแบบนี้คงเป็นเรื่องของการทำประตูที่ให้ความรุนแรงและแม่นยำ แต่ข้อเสียหลักๆคงเป็นเรื่องน้ำหนัก รองเท้าฟุตบอลแบบนี้ส่วนใหญ่จะถูกส่วมใส่โดยผู้เล่นในตำแหน่งของศูนย์หน้า
3.สาย คลาสสิค หรือ heritage
รองเท้าแบบนี้รูปลักษณ์จะออกไปทางแนวย้อนยุคที่ดูเป็นแบบคลาสสิค ทำให้ดูเหมือนกับรองเท้าฟุตบอลสมัยก่อน แต่ทุกวันนี้รองเท้าสายคลาสสิครุ่นใหม่ๆได้ถูกเติมความทันสมัยลงไปบ้างแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกที่ดูคลาสสิค แน่นอนว่าวัสดุที่ยิยมมาใช้ในการทำ upper ก็คือหนังแท้ ในยุคแรกๆอาจจะใช้หนังวัว แต่ปัจจุบันหนังจิงโจ้ได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาผลิต upper หรือ หน้าผ้า รองเท้าฟุตบอลแบบนี้คงไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรมากมาย แต่สิ่งที่ให้กับผู้สวมใส่คือความ นุ่มสบายของหนังและความรู้สึกที่ดีในการสัมผัสลูกฟุตบอลที่เหมือนราวกับว่าเท้าสัมผัสกับบอลโดยตรง เหมือนไม่ได้ใส่สตั้ด น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 250-350 รองเท้าแบบนี้คงเหมาะกับคนที่ต้องการความนุ่มของหนังและไม่ต้องการเทคโนโลยีอะไรมากมาย ขอเพียงแค่ความคลาสสิคของรองเท้าก็พอ

11 สิงหาคม 2553

รองเท้าฟุตบอล เลือก แบบไหน ยังไง งง?? EP.2 "หนังรองเท้า"

ว่าด้วยเรื่องของ upper หรือ หน้าผ้า คือส่วนของหน้าเท้าที่จะมีส่วนสัมผัสกับลูกฟุตบอลมากที่สุด วัสดุที่ใช้ทำ upper จึงได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆ แต่วัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ทำรองเท้าฟุตบอลยังคงเป็นหนังสัตว์ หนังที่ใช้ในการผลิตรองเท้าฟุตบอล ปัจจุบันสามารถแบ่งชนิดของหนังรองเท้าฟุตบอลเท่าที่เห็นในท้องตลาดโดยทั่วไปจะมี หนังสังเคราะห์ธรรมดาทั่วไป หนังสังเคราะห์คุณภาพสูง หนังวัว หนังลูกวัว หนังวัวกระทิง และหนังจิงโจ้ ส่วนหนังชนิดอื่นที่เคยปรากฏว่าถูกนำมาทำเป็นรองเท้าฟุตบอลคือ หนังควาย และหนังฉลาม มาทำความรู้จักหนังแต่ละอย่างกันดีกว่า

หนังสังเคราะห์ธรรมดาทั่วไป คุณสมบัติ น้ำหนักเบา ราคาถูก มีความกระด่าง หรือ แข็งมากกว่า ลักษณะจะเหมือนหนังแก้ว รองเท้าที่ใช้วัสดุแบบนี้ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5xx-2xxx บาท

หนังสังเคราะห์คุณภาพสูง หรือ Micro Fiber ซึ่งยังมีอีกหลายชนิดตามที่ผู้ผลิตแต่ละรายได้คิดค้นขึ้น หนังชนิดนี้ถูกพัฒนาให้มีลักษณะที่เบาและบางมากกวาเดิม เพิ่มความแข็งแรงทนทาน มีความสวยงามและนิ่มกว่าหนังสังเคราะห์ทั่วไป จึงเหมาะกับรองเท้าที่ต้องการให้ผู้ใส่รู้สึกถึงความเบาและความเร็ว ราคารองเท้ามีตั้งแต่ 3000-1xxxx บาทเลยที่เดียว

หนังวัว เป็นหนังที่มีความทนทาน แต่มีน้ำหนักที่มากกว่าหนังสังเคราะห์ มีความนุ่มที่พอใช้ได้เลยทีเดียว ราคามีตั้งแต่ 1500-3xxx บาท

หนังลูกวัว มีคุณสมบัติคลายหนังวัวแต่มีความนุ่มกว่า ราคาจะอยู่ที่ 3xxx-4xxx บาท

หนังกระทิง มีคุณสมบัติที่คลายหนังลูกวัว แต่มีความทนทานที่มากกว่า ไม่ค่อยมีความนิยมในการนำมาผลิตรองเท้าเท่าไหร่นัก ราคาจะอยู่ที่ราว 4xxx-7xxx บาท

หนังจิงโจ้ คุณสมบัติเด่นๆคือ มีความนุ่มมากกว่าชนิดอื่นๆ มีคนเคยให้คำนิยามว่า ใส่รองเท้าที่ทำจากหนังจิงโจ้ เหมือนเตะบอลเท้าเปล่า เพราะเนื่องความนุ่มของหนังชนิดนี้นั้นเอง ราคาเริ่มต้นที่ 4xxx-1xxxx บาท

หนังชนิดอื่นๆ ก็คือหนังควาย และ หนังฉลาม ปัจจุบัน ไม่มีการผลิตแล้ว แต่จะมีหนังที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษและนำมาใส่ได้จริงนั้นผลิตมาจากการนำ Carbon Fiber และ Carbon Kevlar ซึ่งจะทำให้รองเท้าแต่ละข้างมีน้ำหนักเบามากๆ แต่ยังให้ความแข็งแรงทนทานอีกด้วย ปัจจุบัน ราคารองเท้าที่ทำจากวัสดุประเภทนี้มีราคาที่สูงมาก เพราะเนื่องจากเป็นการผลิตแบบจำนวนจำกัดจึงเป็นที่ต้องการของนักสะสม ราคาปัจจุบันจึงเริ่มต้นที่ 2xxxx-2xxxxx บาท โอ่ แม่เจ้า!!! ซื้อรถเก่าๆได้คันนึงเลย

10 สิงหาคม 2553

รองเท้าฟุตบอล เลือก แบบไหน ยังไง งง?? EP.1 "ปุ่มนั้นสำคัญฉไหน"

ขอเขียนเรื่องเกี่ยวกับรองเท้าฟุตบอล หรือ สตั้ด (stud) หน่อยเหอะ เพราะส่วนตัวแล้วชอบเอาเสียมากๆ แต่ไม่มีตังค์ซื้อเลย เหอๆ เพราะแต่ละคู่ก็แพงเหลือเกิน อีกอย่างก็คงไม่มีโอกาสได้ใส่บ่อยเพราะเตะสนามปูน ฮี่ๆๆๆ ซื้อมาไม่ได้ใส่จะเสียดายเปล่าๆ จากที่ผ่านมาคงมีหลายท่านที่สงสัยว่า ปุ่มสตั้ดมีกี่แบบ แตกต่างกันยังไง ควรใช้แบบไหน เรื่องหนังละ หนังวัว หนังควาย หนังกระทิง หนังฉลาม หนังจิงโจ้ หนังสังเคราะห์ หนังไหนสนุก เอ้ย!! นุ่ม แบรนด์ไหนดี แบรนด์ไหนดัง ใส่แล้วหล่อ ใส่แล้วเก่ง ซึ่งคำถามเหล่านี้คงไม่มีวันหมดไปเพราะทุกวันนี้เทคโนโลยี ก้าวล้ำอนาคต อย่างไม่น่าเชื่อ บางคู่ถึงขั้นมีกลไก ผ่านในรองเท้าเลยทีเดียวไม่ได้เว่อร์นะเนี้ย แถมทุกวันนี้บ้านเราสนามฟุตบอลหญ้าเทียมก็ได้รับความนิยมมาก ทำให้รองเท้าฟุตบอลขายดีตามไปด้วย ผมก็พูดถึงรองเท้าฟุตบอลในแบบของผมแล้วกันนะครับ เผื่อจะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจของใครหลายๆคน
ปุ่มนั้นสำคัญฉไหน ซึ่ง ปุ่มแบ่งออกได้เป็นดังนี้

FG = Firm Ground เหมาะสำหรับสนามหญ้าจริงที่กำลังงาม หญ้ายาวพอดีๆ หาในบ้านเราคงไม่มี ที่เห็นก็คงเป็นตามสนามของ ลีก ใหญ่ๆ ในยุโรป คำเตือน : ไม่เหมาะกับสนามหญ้าที่ไม่มีหญ้า กับ หญ้าเทียม เป็นอย่างมาก เพราะปุ่มจะสึกได้ไว กับ หญ้าเทียมเพราะลักษณะของหญ้าเทียมนั้นใบหญ้าจะนอนไม่ชูขึ้นมาทำให้ประสิทธภาพในการที่ปุ่มจะจิกลงไปที่พื้นต่ำลง ทำให้พื้นรองเท้าลอยขึ้น จะทำให้เท้าพลิกเอาง่ายๆนะ ปวดฝ่าเท้าด้วย ที่เห็นโดยทั่วไป ลักษณะจะมีจำนวนปุ่ม 12-14 ปุ่ม ทั้งแบบ ปุ่มกลม เค้าว่าช่วยเรื่องกลับตัวและคลึงบอลดี ปุ่ม ใบมีด เค้าช่วยเรื่อง speed และ การออกตัว และแบบใหม่ ปุ่มสามเหลี่ยม รวมคุณสมบัติทั้งปุ่มกลมและปุ่มใบมีดเข้าด้วยกัน

HG = Hard Ground เหมาะกับหญ้าจริงที่จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ หรือ พวกสนามแข่งๆทั้งหลาย รูปแบบของปุ่มเหมือน FG แตกต่างที่ HG ปุ่มสั้นและใหญ่กว่า บางรุ่น มีจำนวนปุ่มมากกว่า 12 ปุ่ม พวกนี้อาจสามารถเอาไปใส่ หญ้าเทียมได้ครับ เพราะปุ่มสั้นกว่าช่วยลดโอกาสข้อเท้าพลิกกว่า FG

AG = Artificial Ground แปลตรงๆ คงหมายถึงพื้นที่ประดิษฐ์ขึ้นมา ก็คงจะหนีไม่พ้นหญ้าเทียมนี่เอง ปุ่มพวกนี้ ส่วนใหญ่จะจำนวนปุ่มที่มากกว่า FG และ HG สั้นกว่าด้วย บ้า่งยี่ห้ออย่าง Nike จะเรียกกันติดปากว่าปุ่มโดนัท เพราะลักษณะของปุ่มจะมีรูตรงกลาง แต่ถ้าเป็นยี่ห้ออื่น ก็เพียงแค่จำนวนปุ่มเยอะ และ เล็กกว่า FG และ HG แน่นอนแหละว่าปุ่ม AG เหมาะกับสนามที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมา หรือ หญ้าเทียมโดยเฉพาะเลย จากผู้ใช้หลายๆคนให้ความรู้สึกเกี่ยวกับ AG ว่าใส่เล่นหญ้าเทียมได้ดีและได้ Feel สตั้ดด้วย แต่ปุ่มแบบนี้ไม่เหมาะกับ สนามหญ้าจริงหรือพื้นแข็งๆนะ เพราะบางรุ่น ปุ่มทำมาจากยาง

AG = Average Ground อันนี้ไม่รู้ผมเข้าใจถูกรึป่าว เพราะถ้าจะให้เรียกว่า Artificial Ground ก็คงจะไม่ถูก เพราะปุ่มมันยาวพอๆกับ FG จำนวนปุ่มมากกว่านิดหน่อยเอง ปุ่มชนิดนี้จะมีเฉพาะในแบรนด์ของ adidas เท่านั้น บางคนบอกว่ามันหมายถึง เล่นได้ในทุกลักษณะสนาม ประมาณว่า หิ้วมาคู่เดียว ลุยมันทุกรูปแบบ แข็ง ชุ้ม เปียก แฉะ พี่แกเอาอยู่หมด

TF = Turf Ground อันนี้แน่นอน ทำมาเพื่อหญ้าเทียมโดยเฉพาะ ลักษณะจะเป็นปุ่มเล็กๆหลายๆปุ่ม เรียกกันติดปากว่า 100 ปุ่ม แต่อันที่จริงก็คงไม่ถึงหรอก ปุ่มแบบนี้จะทำมาจาก ยาง จึงเหมาะกับหญ้าเทียมอย่างมาก บางคนเค้าว่าในการเล่น หญ้าเทียม ใส่ Turf เล่นดีที่สุด ถนอมเท้า แต่ถ้าจะใส่เล่นสนามที่หญ้าไม่ขึ้นก็ได้นะ ไม่พลิกง่ายด้วย แต่สำหรับบางคนอาจไม่ชอบเพราะไม่ค่อยจะได้ Feel สตั้ดเท่าไหร่เลย และพื้นรองเท้าที่ค่อนข้างหนาทำให้บางคนรู้สึกว่าพื้นสูงไปไม่ถนัด ประสิทธิภาพในการเปิดบอลลดลงด้วย

SG = Soft Ground ปุ่มแบบนี้เหมาะกับสนามที่มีหญ้ายาวๆสูงๆหรือค่อนข้างนิ่มถึงขั้นแฉะเป็นโคลนเลยก็ยังได้ ซึ่งบ้านเราคงหาสนามแบบนี้เล่นได้ยาก ปุ่มแบบนี้มีลักษณะที่ ยาวกว่าปุ่มชนิดอื่น ส่วนใหญ่ทำมาจากโลหะ และจำนวนปุ่มจะมีตั้งแต่ 6-8 ปุ่ม ฉะนั้นสนามหญ้าทั่วไปหรือหญ้าเทียมไม่เหมาะแน่

ปุ่มแบบอื่นๆ

MG = Multi Ground เป็นปุ่มที่เป็นลูกผสมระหว่าง FG กับ AG เหมาะกับพื้นสนามหลายๆแบบ จะมีแต่ในแบรนด์ของ adidas เท่านั้น ผมว่าบางทีมันดูเหมือน Hard Ground ในบางยี่ห้อซะด้วยซ้ำไป

MG = Mix Ground ปุ่มผสม ปุ่มแบบนี้นักฟุตบอลชื่อดังชอบทำกันครับ ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คงเป็นรองเท้าของ C.Ronaldo ที่รองเท้าของเค้าที่เป็นปุ่มใบมีด บางปุ่มจะถูกตัดออกแล้วถูกแทนที่ด้วยปุ่มเหล็ก อาจเพื่อที่จะทำให้สนามเกาะพื้นสนามได้ดีกว่ารึเปล่า??

09 สิงหาคม 2553

Oracle User Group in Thailand

"ชุมชนของผู้ใช้ Oracle ในประเทศไทย"
มีไม่บ่อยนักที่ผมจะเข้าร่วมการอบรมแบบมีสาระกับเค้าบ้าง เฮอะๆ พอได้ยินข่าวจากเพื่อนว่า จะมี อบรม Oracle DBA แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วย ไม่รอช้ารีบสมัครก่อนเลย กลัวที่นั่งเต็มก่อน หลายคนที่รู้ว่าผมจะไปอบรมก็ต่างพูดกันว่า อบรมไม่เสียตังค์มันจะดีหรอ เค้ามาหรอกขายของรึเปล่า ก็ว่ากันไป ที่แรกก็กลัวเหมือนกัน กลัวว่าไปแล้ว เสียเที่ยวเปล่าๆ ไม่ได้อะไรกลับมา แต่ที่ไหนได้พอไปถึงเวลาที่เค้าบรรยายจริงๆ นี่! นี่มัน course trainning แบบที่เสียเงินเรียนนับหมื่นเลยนิ แหล่มจริงๆเลย พี่ที่เป็นวิทยากรชื่อพี่คิม ก็บรรยายดีมากๆสมกับเป็นมืออาชีพจริงๆ แถมพิเศษสุด แขกรับเชิญพิเศษพี่ สุรชาติ Oracle ACE หนึ่งเดียวในประเทศไทยมาร่วมในการอบรมครั้งนี้ด้วย หลังจากจบการอบรม จากผมเองที่ค่อนข้างให้ความสนใจอยู่กับงานจำพวก Game Dev. ก็หันมาสนใจใน DBA มากขึ้นก็เพราะการอบรมครั้งนี้ ได้ความรู้อะไรใหม่ๆเยอะเลย ทุกวันนี้เลยไม่อยากให้สิ่งที่ได้ร่วมอบรมครั้งนี้สูญเปล่า ตอนนี้เลยยังนั่ง งมอยู่กับ Oracle 11g อยู่ ก็ไอ้เรามัน Game Dev. นิ........ 555+

สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ community อย่าลืมเข้าไปพูดคุยกันได้ที่
พี่สุรชาติ

how to connect p5 glove with blender game engine ?

จะมีมั้ยใครที่ใช้ P5 Glove กับ blender แล้วไม่รู้จะอ่านค่าถุงมือยังไง?
งั้นมีวิธีจะบอกให้
1.ใช้ GlovePIE เป็นโปรแกรม Emulate ตัวนึงที่จะเหมือนกับว่าเวลาเราใช้ถุงมือเหมือนกับเรากดปุ่มบน Keyboard (http://glovepie.org/ รองรับอุปกรณ์หลายอย่างเลย ทั้ง wiimote, nunchuk, Joystick, VR Device, ETC.) เท่านี้เราก็แทน Logic Brick ใน Blender Game Engine ด้วย Sensor Keyboard ก็ได้แล้ว แต่เท่าที่ผมใช้ดูมันช้ามากเลย ใครลองแล้วมีวิธีแก้บอกกันด้วยนะ
2. ใช้ Ctypes (http://docs.python.org/library/ctypes.html) เป็นอีกวิธีนึงที่เราสามารถเรียกใช้ Function ที่อยู่ใน Library ของ P5 Glove ได้ในไพธอนสคริปต์ วิธีนี้เราต้องติดตั้ง SDK ของ P5 Glove ซะก่อนนะ พอติดตั้งแล้ว จะมี Library ที่ชื่อว่า "P5dll.dll" อยู่ใน Folder "system32" แต่ Library ที่ผมใช้อยู่เป็น Version ที่ถูกนาย carl kenner คนเดียวกับคนที่ทำ GlovePIE นั้นแหละ ชื่อ Function จึงอาจแตกต่างจากของเดิมที่เป็น Original
ตัวอย่างครับ

import GameLogic
from ctypes import *

libc = windll.p5dll

libc.P5_Init() #Initial
number_g = libc.P5_GetCount()#นับจำนวนถุงมือที่เราต่อกับระบบอยู่

x = c_float()
y = c_float()
z = c_float()
data_p = libc.P5_GetAbsolutePos(c_int(0), byref(x), byref(y), byref(z))#อ่านค่าตำแหน่ง x, y, z,

r = c_float()
e = c_float()
a = c_float()
data_r = libc.P5_GetRotation(c_int(0), byref(r), byref(e), byref(a))#อ่านตำแหน่งการหมุน Roll, Elevation, Azimuth,

t = c_float()
i = c_float()
m = c_float()
r = c_float()
p = c_float()
data_b = libc.P5_GetFingerBends(c_int(0), byref(t), byref(i), byref(m), byref(r), byref(p))#อ่านค่าการงอนิ้วมือ

libc.P5_Close()

ใครเอาไปใช้แล้ว work กว่าของผม หรือ มีวิธีที่ดีกว่า ลองมาพูดคุยกันได้ แต่จะมีใครที่จะได้ใช้ P5 เหมือนผมบ้างเนี้ยถ้าจะยาก เอิ๊กๆๆๆ